สิ่งที่ดีที่สุดก่อนที่จะทำการเลี้ยงตัวอะไรก็ตาม
นั่นคือค้นหาความรู้ข้องมูลเกี่ยวกับสัตว์ชนิดนั้นก่อน
ซึ่งสมัยนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
เข้าอินเตอร์เนทค้นหาด้วยเซิร์จเอนจิ้นดีๆอย่างกูเกิ้ล(Google) ก็สามารถหาอ่านความรู้ต่างๆในโลกนี้ได้สารพัดไปหมด ข้อมูลที่ดีและน่าเชื่อถือได้ก็มีมากมายในวิกิพีเดีย(Wikipedia)นั่นเอง
แม้ว่าผู้เขียนจะภาษาอังกฤษไม่แตกฉานมากมายนักแต่ก็ขออนุญาตแปลและสรุปเรียบเรียงมาเล่าสู่กันฟัง
เพื่อทำความรู้จักกับสัตว์เลี้ยงชนิดนี้สักเล็กน้อย
แต่จะขอสรุปเพื่อให้บทความไม่ยาวเกินไป ท่านใดสนใจอยากอ่านฉบับเต็มก็เข้าไปหาอ่านในวิกิพีเดียได้เลย
ในปี
ค.ศ.1960
(พ.ศ.2503) หมูพันธุ์ที่มีขนาดโตเต็มวัยราวๆ 60
กก. (ขนาดประมาณหมูกระโดนหรือหมูกี้ตัวดำๆน้อยๆบ้านเรานั่นแล)
หมูเหล่านี้ถูกส่งไปเพื่อใช้ทดลองยาและทดสอบการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ
ด้วยเหตุผลที่ว่าเจ้าพวกนี้ตัวเล็กกว่าหมูฟาร์มที่พัฒนาไว้ขุนขายเนื้อเพราะหมูขุนเมื่อโตเต็มที่จะหนักหลายร้อยกิโลกรัม
ซึ่งไม่สะดวกกับการเป็นสัตว์ทดลอง หมูพ๊อตเบลลี่(Potbellied pigs)จากเวียดนามก็เป็นหมูอีกชนิดที่ถูกนำไปใช้ในการทดลอง
และด้วยขนาดและสีสันที่ดึงดูดใจ หมูพันธุ์พ๊อตเบลลี่จึงถูกซื้อไปเลี้ยงเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดใหม่
ในปี
ค.ศ.1990-2000
(พ.ศ.2533-2543) ความต้องการของตลาดหมูสัตว์เลี้ยงเริ่มต้องการหมูที่เล็กกว่าหมูพ๊อตเบลลี่เดิม
เพื่อให้เหมาะกับการเลี้ยงในบ้านและอพาร์มเม้นท์
ขณะเดียวกันก็มีคนขายหมูที่บอกว่าตัวเล็กมากกว่าเดิม
แต่ถูกกลุ่มพิทักษ์สัตว์ต่างๆและนักปรับปรุงพันธุ์หมูต่อต้านหมูที่ไม่ได้เล็กจิ๋วจริงๆอย่างที่กล่าวอ้าง(อาจจะถูกงดอาหารจนแคระแกรน)
กลางปี
ค.ศ.1980
(พ.ศ.2523) นายKeith Cornell จากสวนสัตว์ในออนตาริโอ ได้สั่งนำเข้าหมูพ๊อตเบลลี่ 20 ตัวเข้าไปยังแคนาดา
ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นตระกูลหมูพ๊อตเบลลี่แถบในอเมริกาเหนือเลยทีเดียว
โดยข้อบังคับทางกฏหมายแล้วเฉพาะลูกหมูที่เพาะออกมาถึงจะถูกนำเข้าไปขายในอเมริกาได้
ทีแรกตั้งเป้าหมายไว้เพื่อขายสวนสัตว์แต่กลับกลายเป็นที่นิยมอย่างมากในตลาดสัตว์เลี้ยง
และมียอดนำเข้าเพิ่มตลอด10ปี
มีแม้กระทั่งการจดทะเบียนพันธุ์ประวัติ(Pedigrees)กันด้วย
ในสหราชอาณาจักรอังกฤษ
ปี ค.ศ. 1992
(พ.ศ.2535) Chris Murray จากเมืองเดวอน(Devon)
ใช้เวลาถึง 9ปีเต็มในฟาร์มเพนีเวลล์ (Penny
well Farm) เพื่อพัฒนาหมูพ๊อตเบลลี่เวียดนามกับหมูจากนิวซีแลนด์และหมูอื่นๆที่มีลวดลายและจุดอีกหลายสายพันธุ์
จนได้หมูขนาดเล็กที่มีลวดลายน่ารักและเหมาะที่จะเลี้ยงไว้ภายในบ้าน
(เลี้ยงข้างในบ้านเลยนะครับ เพราะว่าเมืองนอกอากาศหนาว) หลังจากนั้นก็พัฒนามาอีก24รุ่นของหมูจนได้หมูที่เรียกว่า “Teacup” และเปิดตัวจำหน่ายในปี
ค.ศ.2007 (พ.ศ.2550) ด้วยความน่ารักและความฉลาดของหมูเหล่านี้สนนราคาของหมูจิ๋วทีคัพแต่ละตัวมากกว่า
1000 us$ (มากกว่าสามหมื่นบาท) และราคานี้ยังไม่รวมค่าขนส่งค่าดำเนินการต่างๆด้วยซ้ำไป
แต่อย่างไรก็ตามหมูจิ๋วรุ่นทีคัพเล็กพิเศษนี้แม้จะมีการจดใบพันธุ์ประวัติแต่ก็อาจจะมีตัวที่หลุดกลับมาเป็นหมูโต350ปอนด์(160กก.)ได้ (ผู้เขียนคิดว่า
น่าจะเป็นเพราะต้นตระกูลหมูนอกที่คุณคริสนำมาผสมเพื่อเอาสีสันและลายจุดเมื่อตอนเริ่มต้นนั้นเป็นหมูขนาดใหญ่นั่นเอง)